วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลีกแต่ละฤดูกาลของเมสซี่

 
สุดยอดลีลาของ เมสซี่ 

ฤดูกาล 200607




   เมสซีลงแข่งกับ เรนเจอร์ส ใน ค.ศ. 2007

ในฤดูกาล 200607 เมสซีลงเล่นในฐานะทีมชุดใหญ่ ทำประตู 14 ประตูใน 26 นัด[38] ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ในเกมที่เจอกับเรอัลซาราโกซา เมสซีบาดเจ็บจากกระดูกฝ่าเท้าแตก ทำให้เขาไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 3 เดือน[39][40] เขาพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่อาร์เจนตินา และกลับมาลงแข่งอีกครั้งกับราซิงซานตันเดร์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์[41] โดยลงในครึ่งหลัง ในฐานะตัวสำรอง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ในนัดการแข่งขันเอลกลาซีโก เมสซีกลับสู่ฝีมือเต็มตัวอีกครั้ง โดยยิงแฮตทริก กับผู้เล่นของบาร์เซโลนา 10 คน เสมอ 33[42] การทำแฮตทริกในครั้งนี้ ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกนับตั้งแต่ อีบัน ซาโมราโน (เรอัลมาดริด ในฤดูกาล 199495) ที่ทำแฮตทริกในเอลกลาซีโก[43] ไล่ไปจนจบฤดูกาลเขาทำประตูได้มากขึ้นเรื่อย ๆ 11 ประตูในจาก 14 นัด มาจาก 13 นัดสุดท้ายของฤดูกาล[44]




 
 
 
 เมสซีทำประตูในนัดแข่งกับเคตาเฟ

      เมสซียังพิสูจน์ถึงความเป็น "มาราโดนาคนใหม่" ที่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง โดยเกือบจะโด่งดังเท่ามาราโดนา
 ในการทำประตูในฤดูกาลเดียวกัน[45] เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2007 เขายิง 2 ประตูในโกปาเดลเรย์ ในรอบ
รองชนะเลิศที่แข่งกับสโมสรฟุตบอลเคตาเฟ ที่มีความคล้ายคลึงกับประตูที่มีชื่อเสียงของมาราโดนา ในครั้งแข่งกับทีมชาติอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ที่เรียกว่า "ประตูแห่งศตวรรษ"[46] สื่อต่าง ๆ ของโลกต่างเปรียบเทียบเขากับมาราโดนา และสื่อสเปนเรียกเมสซีว่า "เมสซีโดนา"[47] เขายิงในระยะเดียวกับมาราโดนา ที่ 62 เมตร (203 ฟุต) หลบคู่ต่อสู้ในจำนวนเดียวกัน (6 คน รวมถึงผู้รักษาประตู) และทำประตูได้ในตำแหน่งที่คล้ายกันมาก และวิ่งไปยังธงมุมสนาม เหมือนอย่างที่มาราโดนาทำไว้ในเม็กซิโกเมื่อ 21 ปีก่อน[45] ในงานแถลงข่าวหลังการแข่งขัน เพื่อนร่วมทีม เดโก พูดว่า "เป็นการทำประตูที่ดีที่สุด ที่ผมเคยเห็นในชีวิตของผม"[48] ในการแข่งกับเอร์ราเซเดเอสปาญอล เมสซีทำประตูที่คล้ายกับ "หัตถ์พระเจ้า" ของมาราโดนา ในฟุตบอลโลกนัดแข่งกับทีมชาติอังกฤษรอบก่อนชิงชนะเลิศ เมสซีดีดตัวไปที่ลูกบอลและใช้มือของเขายิงประตูผ่านผู้รักษาประตูคาร์ลอส คาเมนี (Carlos Kameni)[49] และถึงแม้ว่าผู้เล่นของเอสปาญอลจะประท้วงและภาพช้าจากโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าเป็นแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินก็ยังถือว่าเป็นประตู[49]

ฤดูกาล 200708




เมสซีทำประตูให้กับบาร์เซโลนา 20 ในนัดเจอกับเซบียา ที่สนามกัมนอว เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2007

ในฤดูกาล 200708 เมสซี ยิง 5 ประตูในสัปดาห์เดียว ทำให้บาร์เซโลนาติดใน 4 อันดับแรกในลาลีกา เมื่อวันที่ 19 กันยายน เขายิง 1 ประตูในนัดชนะลียง 30 ที่บ้านตัวเองในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก[50] เขายิง 2 ประตูในการแข่งกับสโมสรฟุตบอลเซบียา เมื่อวันที่ 22 กันยายน[51] จากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน เมสซียิงอีก 2 ประตูในชัยชนะเหนือเรอัลซาราโกซา 41[52] ประตูถัดไป ในนัดเยือนเลบันเตอูเด 4-1 เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2007 และประตูที่ 2 ในแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนั้น เขายิงในนัดพบกับสโมสรฟุตบอลชตุทการ์ท เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เมสซีลงเล่นอย่างเป็นทางการกับบาร์เซโลนาเป็นนัดที่ 100 โดยแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย[53]

เมสซีได้รับการเสนอชื่อรางวัลฟิฟโปรครั้งที่ 10 ในสาขากองหน้า[54] แบบสำรวจออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สเปนที่ชื่อ มาร์กา ได้ให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ด้วยคะแนนร้อยละ 77[55] นักเขียนจากหนังสือพิมพ์ในบาร์เซโลนา อย่าง เอลมุนโดเดปอร์ตีโบ และ สปอร์ต ได้เขียนว่ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปสมควรเป็นของเมสซี และได้รับการสนับสนุนจากฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์[56] ผู้มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลอย่าง ฟรันเชสโก ตอตตี กล่าวว่า เมสซีเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ในปัจจุบัน[57]

เมสซีไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 6 อาทิตย์หลังจากบาดเจ็บเมื่อวันที่ 4 มีนาคม เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาซ้ายฉีก ในระหว่างการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก ที่พบกับสโมสรฟุตบอลเซลติก เป็นครั้งที่ 4 ใน 3 ฤดูกาลที่เมสซีบาดเจ็บ[58] หลังจากการมาจากอาการบาดเจ็บ เมสซียิงประตูสุดท้ายในฤดูกาล 200708 แข่งกับบาเลนเซีย เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 โดยชนะ 60 เมื่อจบฤดูกาลเมสซียิงประตู 16 ประตู และช่วยส่งยิงประตู 13 ครั้งในทุกการแข่งขัน




ฤดูกาล 200809




 
 
 
 
เมสซีในนัดแข่งกับ เดปอร์ตีโบเดลาโกรูญา

หลังจากที่รอนัลดีนโยออกจากสโมสรไป เมสซีก็สวมเสื้อเบอร์ 10 แทน[59] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ในนัดการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก แข่งกับสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ เมสซียิงได้ 2 ประตูใน 7 นาทีสุดท้าย โดยเปลี่ยนตัวแทนเธียร์รี อองรี พลิกสถานการณ์จากแพ้ 10 ไปเป็นชนะ 21 ให้กับบาร์เซโลนา[60] และเกมในลีกนัดถัดมา แข่งกับสโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด ที่ถือเป็นการปะทะกับมิตรสหายที่ดีของเมสซี คือ เซร์คีโอ อาเกวโร[61] เมสซียิงประตูจากการเตะฟรีคิก และยังช่วยส่งบอลยิงประตูให้กับบาร์เซโลนา ชนะ 61[62] เมสซียิงตุงตาข่ายอีกครั้งในนัดแข่งกับเซบียา โดยยิงลูกวอลเลย์ในระยะ 23 เมตร (25 หลา) และจากนั้นก็เลี้ยงลูกผ่านผู้รักษาประตูและยิงประตูจากมุมแคบได้[63] เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ในการแข่งเอลกลาซีโกนัดแรกของฤดูกาล เมสซียิงประตูที่ 2 ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะเรอัลมาดริด 20[64] เขายังได้ที่ 2 ในรายชื่อผู้ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของฟีฟ่า ปี 2008 ด้วยคะแนน 678 คะแนน[9]

เมสซียิงแฮตทริกแรกในปี ค.ศ. 2009 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดแข่งกับอัตเลตีโกมาดริด โดยบาร์เซโลนาชนะไป 3-1[65] เมสซียิงอีกประตูสำคัญ 2 ประตู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โดยลงมาในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลัง ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะราซิงซานตันเดร์ 12 หลังจากที่ตามอยู่ 10 และประตูการยิงที่ 2 ของเขาถือเป็นประตูที่ 5000 ในลีกของสโมสรบาร์เซโลนา[66] ในการแข่งครั้งที่ 29 ในลาลีกา เมสซียิงประตูที่ 30 ของฤดูกาล นับในทุกการแข่งขัน ทำให้ทีมชนะ 60 ต่อสโมสรฟุตบอลมาลากา[67] เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2009 เขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิค ในแชมเปียส์ลีก เขายิงเป็นประตูที่ 8 ในการแข่งถ้วยนี้[68] เมื่อวันที่ 18 เมษายน เมสซียิงประตูที่ 20 ของฤดูกาลในนัดชนะเคตาเฟ 10 ทำให้บาร์เซโลนายังคงมีคะแนนอันดับสูงสุดในลีกและนำเรอัลมาดริด 6 คะแนน[69]

เมื่อใกล้จบฤดูกาล เมสซียิง 2 ประตู (ประตูที่ 35 และ 36 ในทุกการแข่งขัน) นำ 62 ชนะเหนือเรอัลมาดริด ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว[70] ที่ถือเป็นการแพ้มากที่สุดของเรอัลมาดริดตั้งแต่ ค.ศ. 1930[71] หลังยิงประตู เขาวิ่งไปหาเหล่าคนดูและกล้อง และแสดงเสื้อบาร์เซโลนาและแสดงเสื้อทีเชิร์ตอีกตัวที่เขียนว่า Síndrome X Fràgil เป็นภาษาคาตาลันหมายถึง กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะบาง (Fragile X syndrome) เพื่อแสดงการสนับสนุนต่อเด็กที่ป่วยจากอาการดังกล่าว[72] เมสซีมีส่วนต่อการเสริมกำลังในระหว่างที่อันเดรส อีเนียสตา บาดเจ็บ ในการแข่งขันกับสโมสรฟุตบอลเชลซี ในแชมเปียนส์ลีกในรอบรองชนะเลิศ ได้ส่งให้บาร์เซโลนาผ่านไปเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในรอบตัดสิน เขายังได้รับถ้วยรางวัลโกปาเดลเรย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ยิง 1 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก ในชัยชนะ 41 เหนือแอทเลติกบิลบาโอ[73] เขาช่วยทีมเป็นผู้ชนะในครั้งที่ 2 ในลาลีกา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม บาร์เซโลนาชนะในแชมเปียนส์ลีกโดยเขาทำประตูที่ 2 ในนาทีที่ 70 ทำให้บาร์เซโลนามีประตูนำ 2 ประตู เขายังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีก และเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ทำประตูได้ 9 ประตู[74] เมสซียังได้รับรางวัลกองหน้าระดับสโมสรยอดเยี่ยมแห่งปีและรางวัลนักฟุตบอลระดับสโมสรยอดเยี่ยมแห่งปี จบฤดูกาลได้อย่างสวยงามในยุโรป[75] ชัยชนะนี้หมายถึงบาร์เซโลนาชนะถ้วยโกปาเดลเรย์ ในลาลีกา และแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียว[76] และเป็นครั้งแรกที่สโมสรฟุตบอลสเปนจะชนะได้ 3 รางวัลรวด

ฤดูกาล 200910


"เมื่อเห็นเขาวิ่ง ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเมสซีได้ เขาเป็นนักฟุตบอลคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ด้วยฝีเท้า"

"เขาเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกที่มีมา เขา (เหมือนกับ) เป็นเพลย์สเตชัน เขาสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกความผิดพลาดที่พวกเราทำ"

อาร์แซน แวงแกร์ กล่าวหลังการแข่งขันที่อาร์เซนอลแพ้ต่อบาร์เซโลนา 4-1[77][78]

เมสซีในนัดแข่งชิงถ้วยโชอันกัมเปร์ โดยบาร์เซโลนาแข่งกับแมนเชสเตอร์ซิตี ที่สนามกัมนอว

หลังจากทีมชนะในการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2009 ผู้จัดการทีม ชูเซบ กวาร์ดีโอลา แสดงความมั่นใจว่าเมสซีอาจเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็น[79] เมื่อวันที่ 18 กันยายน เมสซีเซ็นสัญญาใหม่กับบาร์เซโลนา ที่จะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2016 ด้วยสัญญา 250 ล้านยูโร ทำให้เมสซี รวมถึงซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในลาลีกา โดยเมสซีได้เงินราว 9.5 ล้านยูโรต่อปี[80][81] หลังจากนั้น 4 วัน ในวันที่ 22 กันยายน เมสซียิง 2 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 1 ลูกในชัยชนะที่บาร์ซาชนะราซิงซานตันเดร์ 41 ในลาลีกา[82] เขายิงประตูแรกในถ้วยยุโรปของฤดูกาลนี้ เมื่อวันที่ 29 กันยายน นำบาร์เซโลนาชนะดีนาโมเคียฟ 20[83] จากนั้นยิง 1 ประตูในลาลีกาที่ชนะ 61 ต่อเรอัลซาราโกซาที่สนามกัมนอว[84]

เมสซีได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ด้วยคะแนน 473 คะแนน นำรองผู้ชนะ คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งได้คะแนน 233[85][86][87] หลังจากนั้นนิตยสาร ฟรานซ์ฟุตบอล นำคำพูดที่เมสซีลงไว้ว่า "ผมอุทิศให้กับครอบครัวของผม พวกเขาเป็นของขวัญของผมเสมอเมื่อผมต้องการมันและในบางครั้งรู้สึกอารมณ์แกร่งขึ้นมากกว่าผม"[88]

                                                           เมสซีในการแข่งขันฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2009

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เมสซียิงประตูในนัดชิงชนะเลิศของ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2009 ในนัดแข่งกับเอสตูเดียนเตสที่อาบูดาบี ทำให้สโมสรชนะการแข่งครั้งถ้วยที่ 6 ในปี[89] หลังจากนั้น 2 วันเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า เบียดคริสเตียโน โรนัลโด, ชาบี, กาก้า และอันเดรส อีเนียสตา ไปได้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรางวัลนี้ และเป็นชาวอาร์เจนตินาคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้[90] เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2010 เมสซียิงแฮตทริกแรกในปี ค.ศ. 2010 และเป็นแฮตทริกแรกของฤดูกาล ในนัดแข่งกับเซเดเตเนรีเฟ ด้วยประตูชนะ 05[91] และเมื่อวันที่ 17 มกราคม เขายิงประตูที่ 100 ให้กับสโมสรในเกมที่ชนะเซบียา 40[92]
           เมสซีสร้างความประทับใจโดยยิงประตู 11 ประตูใน 5 เกม เกมแรกยิงประตูในนาทีที่ 84 ในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลมาลากา ด้วยประตูชนะ 21[93] จากนั้นเขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับอูเดอัลเมรีอา เสมอ 22[94] เขายังยิงอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์แห่งความประทับใจ ที่เขายิงไป 8 ประตู โดยเริ่มยิงแฮตทริกในนัดชนะบาเลนเซียในบ้าน 30[95] จากนั้นยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลชตุทการ์ท ในชัยชนะ 40 ทำให้บาร์เซโลนาผ่านสู่รอบก่อนรอบสุดท้ายในแชมเปียนส์ลีก[96] และท้ายสุดกับการยิงแฮตทริกอีกครั้งในนัดไปเยือนซาราโกซาชนะ 42[97] ทำให้เป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ติดต่อกันในลาลีกา[98] เขาลงแข่งอย่างเป็นทางการเป็นนัดที่ 200 กับบาร์เซโลนาในนัดแข่งกับโอซาซูนา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2010[99]

เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2010 เป็นครั้งแรกในอาชีพของเขาที่ยิง 4 ประตูในนัดเดียว ในนัดเป็นทีมเหย้าแข่งกับอาร์เซนอล ในชัยชนะ 41 ในแชมเปียนส์ลีกรอบก่อนรอบสุดท้าย นัดที่ 2[100][101][102] ทำให้เขาเป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาที่ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลในแชมเปียนส์ลีก แซงหน้ารีวัลดูไป[103] เมื่อวันที่ 10 เมษายน เมสซียิงประตูที่ 40 ของฤดูกาลในประตูแรกในชัยชนะเยือนเรอัลมาดริด 20[104] เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เมสซียิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลและยิง 2 ประตูในการเยือนบียาร์เรอัล ด้วยชัยชนะ 41[105] 3 วันต่อมา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เมสซียิง 2 ประตูในนัดเป็นทีมเหย้าแข่งกับเตเรรีเฟ ด้วยชัยชนะ 41[106] เมสซียิงประตูที่ 32 ในฤดูกาลนี้ของลาลีกาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ในการเยือนเซบียา[107] และนัดสุดท้ายของฤดูกาลแข่งกับบายาโดลิด เขายิง 2 ประตูในครึ่งหลัง ทำให้สถิติยิงจำนวนประตูของสโมสรใน 1 ฤดูกาลของลาลีกาเทียบเท่ากับโรนัลโด ที่ 32 ประตู ที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 199697[108][109] แต่ตามหลังสถิติตลอดกาล 4 ประตู ของเตลโม ซาร์รา ที่ทำไว้ 38 ประตูในฤดูกาลเดียวของลาลีกา[110] เมสซีได้รับรางวัลผู้เล่นลาลีกาแห่งปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2010[111]

ฤดูกาล 201011


เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เมสซียิงแฮตทริก ในนัดเปิดฤดูกาลของเขาในชัยชนะ 40 เหนือเซบียา ในการชิงถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปาญา ทำให้บาร์เซโลนาได้ถ้วยแรกของฤดูกาล หลังจากแพ้ 13 ในการแข่งนัดแรก[112] เขาเริ่มต้นฤดูกาลในลาลีกา ด้วยการยิงประตูในนาทีที่ 3 ในนัดแข่งกับราซิงซานตันเดร์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เขายังคงแสดงฝีมือยอดเยี่ยมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในนัดแบ่งกลุ่ม แข่งกับพานาทีไนกอส (Panathinaikos) โดยเขายิงได้ 2 ประตู และยังช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก และยังยิงเข้ากรอบประตูใน 2 ครั้ง

เมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2010 เมสซีได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าเนื่องจากการเข้าแย่งลูกจากกองหลังสโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด โตมัส อุยฟาลูซี (Tomáš Ujfaluši) ในนาทีที่ 92 ในนัดที่ 3 ที่สนามกีฬาบีเซนเตกัลเดรอน โดยเริ่มแรกนั้นเกรงว่าเมสซีจะบาดเจ็บจากข้อเท้าแตกและทำให้เขาไม่สามารถลงแข่งได้อย่างน้อย 6 เดือน แต่จากผลเอ็มอาร์ไอแสดงให้เห็นในวันถัดไปในบาร์เซโลนาว่า เกิดการเคล็ดที่เอ็นภายในและภายนอกที่ข้อเท้าขวา[113] เพื่อนร่วมทีม ดาบิด บียา ออกมากล่าวว่า "การเข้าแย่งลูกปะทะเมสซีเป็นสิ่งที่หยาบคาย" หลังจากดูวิดีโอที่เล่นแล้ว เขายังเชื่อว่า "ไม่ได้กระแทกให้เจ็บ"[114] จากเหตุนี้ทำให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วและนำไปสู่การถกเถียงเรื่องความเท่าเทียมกันในการปกป้องผู้เล่นในเกม

เมื่อเมสซีหายดีแล้ว เขายิงประตูในนัดเสมอกับเอร์เรเซเดมายอร์กา 11 จากนั้นยิงอีก 1 ประตูในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเจอกับสโมสรฟุตบอลโคเปนเฮเกน ช่วยให้ทีมชนะในบ้าน 20[115] เขายังคงยิงประตูอย่างต่อเนื่อง ในนัดเจอกับซาราโกซาและเซบียา เมื่อเริ่มเดือนพฤศจิกายนเขายิงประตูโดยไปเยือนโคเปนเฮเกน เสมอ 11 และไปเยือนสโมสรฟุตบอลเคตาเฟชนะ 31 ที่เขาช่วยจ่ายบอลให้ดาบิด บียาและเปโดร โรดรีเกซ ยิง[116] ในนัดต่อไปเจอกับบียาร์เรอัล เขายิงประตูที่น่าแปลกใจจากการร่วมมือกับเปโดร ทำให้นำ 21 จากนั้นก็ยิงอีกประตู ทำให้บาร์เซโลนาชนะ 31 และเป็นนัดที่ 7 ติดต่อกันที่เมสซียิงประตู ทำลายสถิติตัวเขาเองที่เคยยิงได้ 6 นัดติดต่อกัน ในนัดพบกับอูเดอัลเมรีอา เขาทำแฮตทริกครั้งที่ 2 ของฤดูกาลในนัดเยือนที่ชนะไป 80 ประตูที่ 2 ในนัดนี้เป็นประตูที่ 100 ในลาลีกาของเขา[117] เขายิงประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน (รวมถึง 10 นัดติดต่อกันในนัดกระชับมิตรแข่งกับทีมชาติบราซิล) โดยไปเยือนพานาทีไนกอส ชนะ 30[118]


เมสซีในนัดแข่งขันกับเรอัลมาดริด ในแชมเปียนส์ลีก

          ในนัดเอลกลาซีโกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เมสซียิงประตูช่วยให้บาร์เซโลนาชนะ 50 และเมสซียังช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับบียา 2 ครั้ง[119] ในนัดถัดมาเขาทั้งยิงและช่วยจ่ายลูกยิงให้นัดเจอกับโอซาซูนา[120] เขาตอกย้ำรอยเดิมโดยการยิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลโซเซียดัด[121]ในนัดดาร์บีที่แข่งกับเอร์ราเซเดเอสปาญอล บาร์เซโลนาชนะ 1-5 เขาช่วยส่งจ่ายลูกยิงให้กับเปโดรและบียา คนละหนึ่งประตู[122] ประตูแรกในปี ค.ศ. 2011 ของเขา แข่งกับเดปอร์ตีโบเดลาโกรูญา ยิงจากลูกฟรีคิก ในนัดที่ชนะ 40 โดยการไปเยือน ซึ่งเขาก็ยังช่วยยิงลูกจ่ายประตูให้กับทั้งเปโดรและบียาอีกครั้ง[123]

เมสซีได้รับรางวัลฟีฟ่าบัลลงดอร์ 2010 ชนะเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง ชาบีและอีเนียสตา[124] โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน[125] 2 วันถัดหลังได้รับรางวัล เขายิงแฮตทริกแรกของปี และเป็นแฮตทริกที่ 3 ในฤดูกาล ในนัดแข่งกับเรอัลเบติส[126] กลับมาสู่ในลีก เขายิงประตูในครึ่งหลัง โดยยิงประตูที่ 2 ของทีม จากจุดโทษในนัดแข่งกับราซิงเดซานตันเดร์[127] หลังจากยิงประตูเขาแสดงข้อความบนเสื้อในเขียนว่า "สุขสันต์วันเกิด คุณแม่"[128] เขายิงประตูด้วยความมั่นใจในนัดแข่งกับอัลเมรีอา ในโกปาเดลเรย์รอบรองชนะเลิศ[129] จากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็ยิงอีกครั้งในนัดแข่งกับเอร์กูเลส[130] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ บาร์เซโลนาสร้างสถิติใหม่ โดยการชนะติดต่อกันมากที่สุดในลีก โดยชนะติดต่อกัน 16 ครั้ง หลังจากที่ทีมชนะอัตเลตีโกมาดริด 30 ที่สนามกัมนอว[131] เมสซียิงแฮตทริกเพื่อแสดงความมั่นใจว่าชัยชนะจะอยู่ที่ทีมเขา หลังจบการแข่งขันเขาพูดว่า "เป็นเกียรติที่สามารถทำลายสถิติที่ยิ่งใหญ่ที่ทำขึ้นเหมือนอย่างอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน" และ "ถ้าสถิตินี้ยังคงมีไปอีกนานเพราะว่ามันซับซ้อนที่จะชนะและเราก็สามารถทำถึงมันโดยชนะในทีมที่ยาก กับสถานการณ์อันเลวร้าย ซึ่งก็ทำให้มันยิ่งยากขึ้น"[132]

หลังจากไม่ได้ทำประตูใน 2 นัด เขายิงประตูในชัยชนะเหนือแอทเลติกบิลบาโอที่บาร์เซโลนาชนะ 21[133] ในสัปดาห์ต่อมาเขายิงประตู เป็นผู้นำในลีกฤดูกาลนี้ ในนัดแข่งกับมายอร์กา 30 ในการไปเยือน.[134] สร้างสถิติเทียบเท่าทีมจากแคว้นบาสก์ เรอัลโซเซียดัด ในฤดูกาล 197980 ที่ชนะ 19 ครั้งติดต่อกันในฐานะทีมเยือน แต่สถิตินี้ก็ถูกทำลายไปในอีก 3 วันต่อมาเมื่อเมสซียิงประตูเดียวในชัยชนะการไปเยือนบาเลนเซีย[135] เมื่อวันที่ 8 มีนาคม เมสซียิง 2 ประตูในนัดเจอกับอาร์เซนอล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สนามกัมนอว ได้ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะด้วยประตูรวม 31 และเข้าสู่รอบก่อนชิงชนะเลิศ[136] หลังจากไม่สามารถยิงประตูได้ร่วมเดือน เขายิงประตูในนัดแข่งกับอัลเมรีอา ประตูที่ 2 เป็นประตูที่ 47 ในฤดูกาลนี้ของเขา เทียบเท่าสถิติการทำประตูในฤดูกาลก่อนของเขา[137] เขาทำลายสถิติเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2011 โดยยิงประตูในชัยชนะเหนือชาคห์ตาร์โดเนตสค์ ในการแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาถือสถิติผู้ทำประตูสูงสุดในฤดูกาลเดียวของบาร์เซโลนา[138] เขายิงประตูที่ 8 ในเอลกลาซีโก เสมอ 11 ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 23 เมษายน เมสซียิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลในนัดแข่งกับโอซาซูนา 20 ในบ้าน เมื่อเขาออกมาเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 60[139]

ในนัดแรกของแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ เขาสร้างความประทับใจ โดยยิง 2 ประตูในนัดที่พบกับเรอัลมาดริด ชนะด้วยจำนวนประตู 20 ประตูที่ 2 เป็นการเลี้ยงลูกหลบผู้เล่นหลายคน และยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการแข่งขันนี้[140][141] ในการแข่งขันยูฟาแชมเปียนส์ลีกที่เว็มบลี เมสซีทำประตูตอกย้ำให้บาร์เซโลนาคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สามในรอบหกปี และเป็นสมัยที่สี่ในประวัติศาสตร์สโมสร[142]

ฤดูกาล 201112





             เมสซีในฤดูกาล 2011-12



ในการแข่งขันชิงถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปาญา 2011 เมสซียิงประตู 3 ประตู และช่วยจ่ายลูกยิงประตูอีก 2 ประตู ทำให้มีผลประตูรวม 54 ชนะทีมเรอัลมาดริดไปได้[143] ในนัดถัดมาอย่างเป็นทางการเขายิงประตูอีกครั้งหลังจากการส่งหลังผิดพลาดของเฟรดี กัวริน และได้ช่วงส่งประตูให้เซสก์ ฟาเบรกัสยิงประตู ทำให้ชนะโปร์ตู 2-0 ในการแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ[144] เมื่อเริ่มฤดูกาลในลาลีกา เมสซียิง 2 ประตูในนัดแข่งกับบียาร์เรอัล[145] และเขายังสามารถยิงแฮตทริกได้ต่อเนื่องในฐานะทีมเหย้ากับโอซาซูนา[146]และอัตเลตีโกมาดริด[147]

ในวันที่ 28 กันยายน เมสซียิง 2 ประตูในแชมเปียนส์ลีกใน 2 นัดแรกของฤดูกาล แข่งกับสโมสรฟุตบอลบาเตโบรีซอฟ[148] ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลนา เทียบเท่ากับลัสโซล คูบาลา กับ 194 ประตู ในทุกการแข่งขันที่เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการ[149] แต่ต่อมาเขาก็ทำลายสถิตินี้โดยยิงอีก 2 ประตูเมื่อแข่งกับราซิงเดซานตันเดร์[150] และเหลืออีกประตูเดียวก็ถึง 200 ประตู เมื่อเขายิงแฮตทริกในนัดแข่งที่บ้าน แข่งกับมายอร์กา และยิงได้แซงหน้าคูบาลา ที่จำนวน 132 ประตู[151] เขายิงประตูที่ 200 ให้กับบาร์เซโลนา และอีก 2 ลูก เป็นแฮตทริกในนัดแข่งกับวิกตอเรียเปิลเซน (Viktoria Plzeň) ในแชมเปียนส์ลีก[152] เมสซียิงประตูแรกของเขาได้ในซานมาเมส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้เสมอกับแอทเลติกบิลบาโอ 22[153] นัดต่อมาเขายิงประตูในนัดแข่งกับเรอัลซาราโกซา[154] เขายิงจุดโทษให้ทีมชนะในการเยือน 32 แข่งกับเอซี มิลาน ในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ลีก[155] เขายิงประตูได้ครั้งแรกกับราโยบาเยกาโน ในนัดชนะที่บ้าน 40[156] จากนั้นยิง 1 ประตู นัดแข่งกับเลบันเตอูเด ทำให้ทีมชนะในบ้าน 5-0[157]

เมสซีได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมยุโรปของฟีฟ่าปี ค.ศ. 2011 โดยชนะเพื่อนร่วมทีม ชาบี และผู้เล่นจากเรอัลมาดริด คริสเตียโน โรนัลโด เมสซียังได้รับรางวัลฟีฟ่าบัลลงดอร์ 2011 อีกครั้ง โดยชนะชาบีและคริสเตียโน โรนัลโดเช่นกัน การได้รับรางวัลบัลลงดอร์ครั้งนี้ ทำให้เมสซีเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่ได้รับรางวัลบัลลงดอร์ 3 ครั้ง ก่อนหน้านี้คือ โยฮัน ครัฟฟ์, มีแชล ปลาตีนี และมาร์โก ฟาน บัสเทิน ต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เมสซีลงเล่นในลาลีกาเป็นนัดที่ 200 โดยเขายิงได้ 4 ประตู ในนัดแข่งกับบาเลนเซีย โดยผลคือทีมชนะ 51[158] ในวันที่ 7 มีนาคม เมสซีเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตู 5 ประตูในแชมเปียนส์ลีก โดยได้ช่วยทีมป้องกันแชมป์ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะบาเยอร์ 04 เลเฟอร์คูเซิน 71[159]

ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม เมสซียิงได้ 3 ประตูในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลกรานาดา ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของบาร์เซโลนา แซงหน้านักฟุตบอลตำนาน เซซาร์ โรดรีเกซ อัลบาเรซ ที่เคยถือสถิติ ยิง 232 ประตู[160] ในวันที่ 2 พฤษภาคม เมสซียิงแฮตทริกในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลมาลากา ทำให้เขาทำลายสถิติของเกิร์ด มึลเลอร์ (ที่ยิง 67 ประตูในฤดูกาล 1972-73) โดยเมสซียิงได้ 68 ประตู และเขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของยุโรปใน 1 ฤดูกาล[161]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น